ตาม ป.พ.พ. ม. 845 ว. 1 ผู้วานนายหน้าต้องจ่ายค่าบำเหน็จตามจำนวนที่ตกลงไว้ให้แก่นายหน้า เมื่อนายหน้าปฏิบัติตามสัญญานายหน้าจนสำเร็จ กล่าวคือ เมื่อนายหน้าเป็นสื่อให้ผู้วานนายหน้าได้เข้าทำสัญญากับบุคคลอื่นจนสำเร็จแล้ว
ที่ว่า "จนสำเร็จ" มิได้หมายความถึงขนาดที่สัญญาระหว่างผู้วานนายหน้ากับบุคคลอื่นจะเรียบร้อยบริบูรณ์เต็มขั้น เพียงทั้งสองตกลงผูกมัดกันว่าจะทำสัญญา แม้รายละเอียดปลีกย่อยบางเรื่องยังมิได้ตกลงกัน ก็นับได้ว่า นายหน้าบรรลุหน้าที่ของตนแล้ว เรียกค่าบำเหน็จได้ แม้ต่อมาคนทั้งสองนั้นจะไม่มาทำสัญญากันหรือผิดสัญญากันก็ตาม
เมื่อสัญญาที่นายหน้าชี้ช่องให้เกิดนั้นมีเงื่อนไขบังคับก่อน นายหน้ายังเรียกเอาค่าบำเหน็จไม่ได้ จนกว่าเงื่อนไขนั้นจะสำเร็จแล้ว เช่น ก รับเป็นนายหน้าที่ ข กับ ค ซื้อขายกระบือกันตัวหนึ่ง สัญญาซื้อขายระหว่าง ข กับ ค มีเงื่อนไขว่า กรรมสิทธิ์ในกระบือนั้นจะยังไม่โอนกันจนกว่าบุตรของ ค จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นได้ ดังนี้ ก ยังเรียกค่าบำเหน็จนายหน้ามิได้ ตราบที่บุตรของ ข ยังสอบเข้าไม่ได้
หากในการเป็นสื่อกลางของนายหน้า (1) ผู้วานนายหน้ากับบุคคลอื่นตกลงกันไม่ได้ หรือเปลี่ยนใจไม่ผูกนิติสัมพันธ์กันก็ดี, หรือ (2) เมื่อนายหน้าทำหน้าที่ไปด้วยดีแล้ว แต่สุดท้าย ผู้วานนายหน้ากับบุคคลอื่นไม่ทำสัญญากันก็ดี, หรือ (3) นายหน้าทำหน้าที่ไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญานายหน้า ถ้าจะได้ตกลงกันไว้ก็ดี ทั้งสามกรณีนี้ นายหน้าไม่มีสิทธิเรียกค่าบำเหน็จเลย เว้นแต่ผู้วานนายหน้าตกลงกับนายหน้าว่า แม้งานไม่สำเร็จ ก็จะจ่ายค่าบำเหน็จให้เต็มจำนวนหรือเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้
ในบางกรณี มีสัญญาเกิดขึ้นโดยอ้อมจากการชี้ช่องของนายหน้า เช่น ฮ เป็นนายหน้าให้ อ เช่านาผืนหนึ่งกับ ฬ เมื่อ อ กับ ฬ เจรจากันเสร็จแล้ว อ ไม่เห็นด้วยกับราคาที่ ฬ ตั้ง จึงไม่ทำสัญญาเช่าด้วย เผอิญว่า ห มาได้ยินเข้าจึงเข้าเช่านากับ ฬ แทน เช่นนี้แล้ว เมื่อมีคดีขึ้นสู่ศาลไทย ศาลมักพิพากษาให้ ห ต้องจ่ายค่าบำหน็จให้แก่ ฮ เพราะถือได้ว่า ห ได้ช่องทำสัญญามาจาก ฮ
ค่าใช้จ่ายที่นายหน้าเสียไปในการทำหน้าที่ จะเรียกจากผู้วานนายหน้าได้ ก็ต่อเมื่อตกลงกันไว้เท่านั้น ตาม ป.พ.พ. ม. 845 ว. 2 ซึ่งหากตกลงกันไว้ และนายหน้าทำหน้าทสำเร็จแล้ว แม้สัญญาที่ตนรับชี้ช่องให้นั้นยังไม่ได้ทำกันขึ้น นายหน้าก็เรียกค่าใช้จ่ายได้ แต่ถ้านายหน้าทำหน้าที่ไม่สำเร็จ เขาต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้เอง
เมื่อบุคคลหนึ่งชี้ช่องให้อีกบุคคลหนึ่งได้เข้าทำสัญญาฉบับหนึ่งกับบุคคลที่สาม และยังชี้ช่องให้บุคคลที่สามทำสัญญาอย่างเดียวกันกับบุคคลที่สองนั้นด้วย กล่าวคือ เป็นนายหน้าให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน โดยหวังเอาค่าบำเหน็จจากทั้งคู่ ดังนี้ กฎหมายก็อนุญาตให้นายหน้าทำได้ ถ้าไม่เป็นที่ขัดขวางต่อประโยชน์ของคู่สัญญาเหล่านั้น
แต่หากการที่นายหน้ารับงานซ้อนเช่นนี้ ส่งผลให้คู่สัญญาต้องเสียหายทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่ง ป.พ.พ. ม. 847 ระบุว่า เป็นการที่นายหน้ารับค่าบำเหน็จที่ปรกติแล้วนายหน้าผู้สุจริตไม่รับกัน เช่นนี้ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่นายหน้าที่ดี และเป็นเหตุให้นายหน้าผู้นั้นหมดสิทธิได้รับทั้งค่าบำเหน็จและค่าใช้จ่ายจากคู่สัญญาฝ่ายที่เสียหายนั้นโดยสิ้นเชิง
เช่น ก ต้องการขายพระเครื่อง จึงติดต่อ ข ให้ช่วยหาคนมาซื้อพระเครื่องตนสักหน่อย, จังหวะเดียวกัน ข ทราบว่า ค กำลังอยากได้พระเครื่องอยู่พอดี จึงเสนอกับ ค ว่า ตนจะหาคนมาขายพระเครื่องให้, และ ข ก็ชี้ช่องให้ ก กับ ค มาทำสัญญาซื้อขายกัน โดยตกลงกันว่า ก จะจ่ายค่าบำเหน็จให้ ข หนึ่งแสนบาท และ ค จะจ่ายค่าบำเหน็จให้ ข เก้าหมื่นบาท, เช่นนี้แล้ว เห็นได้ว่า การที่ ข เป็นนายหน้าควบระหว่าง ก กับ ค ไม่ทำให้ประโยชน์ของ ก และ ค เสียแต่ประการใด กับทั้งไม่ฝ่าฝืนหน้าที่ของนายหน้าที่ดีด้วย, ข จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จจากทั้ง ก และ ค ตามที่ตกลงกันนั้น, ก หรือ ค จะปฏิเสธว่า ข เป็นนายหน้าควบ ไม่จ่ายค่าบำเหน็จให้ มิได้
ที่มา th.wikibooks.org/wiki/นายหน้า
หน้าที่เข้าชม | 98,546 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 78,306 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 ก.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 30 ส.ค. 2568 |